Monthly Archives: October 2020

ได้คำตอบแล้ว สถานีใหม่ของเวทเทล ซบแอสตัน มาร์ติน

หลังจากที่ทิ้งปริศนาไว้ให้แฟนกีฬาแข่งรถฟอร์มูล่า วัน ได้คาดการกันไปต่าง ๆ นานาสำหรับอนาคตของนักแข่งดีกรีแชมป์โลกอย่าง เซบาสเตียน เวทเทล ที่ยืนยันหนักแน่นว่าจะทำการแยกทางจากทีมม้าลำพอง เฟอร์รารี่ที่เขาอยู่มานานถึง 6 ปี และในวันนี้ก็เป็นที่ยืนยันค่อนข้างแน่แล้วว่าปลายทางสถานีต่อไปของเขานั้นคือค่ายซูเปอร์คาร์จากเกาะอังกฤษอย่าง แอสตัน มาร์ตินนั่นเอง

แรกเริ่มเดิมทีนั้นเซบาสเตียน เวทเทลคือหนึ่งในนักแข่งรถฟอร์มูลาร์วันที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเขาสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาครองได้มากถึง 4 สมัย เมื่อครั้งอยู่กับทีมเก่าอย่างเรดบูลและนั่นทำให้ค่ายยักษ์หลับอย่างเฟอร์รารี่ที่ห่างหายจากการเป็นแชมป์โลกไปนานตั้งแต่สมัยคิมี่ ไรโคเน่น ทั้ง ๆ ที่เคยครองความเป็นเจ้าสนามในยุคทองของมิเชล ชูมัคเกอร์ก่อนหน้านั่นไม่กี่ปี ตัดสินใจดึงตัวเขามาร่วมทีมเพื่อหวังจะกลับไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง รวมไปถึงยืนระยะได้ยาวนานเหมือนที่ชูมัคเกอร์เคยทำ

มันดูเหมือนว่าจะเป็นการเซ็นสัญญาที่สวยงามและน่าจะประสบความสำเร็จ ในการที่ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างเฟอร์รารี่ได้ตัวแชมป์โลกสี่สมัยอย่างเซบาสเตียน เวทเทลมาร่วมทีม แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะตลอดหกฤดูกาลที่อยู่กับทีมม้าลำพองเขาไม่สามารถพาตัวเองและทีมก้าวขึ้นไปสู่จุดนั้นได้เลย แถมกลายเป็นแค่ตัวประกอบให้กับความรุ่งโรจน์ของลูอิส แฮมิลตันแห่งทีมเมอร์ซิเดสที่กวาดแชมป์เป็นว่าเล่นอีกด้วย จึงต้องนับว่าเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกับทีมม้าลำพอง

เมื่อเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ร่วมกันไม่เป็นไปแบบที่คิด บวกกับอายุของเขาที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันและที่สำคัญรายได้ที่เขารับกับทางเฟอร์รารี่มันคือค่าจ้างระดับแชมป์โลก เมื่อบวกกับปัจจัยอื่นอย่างการมีนักแข่งรุ่นน้องฝีมือดีอย่างชาร์ล เลอแคร์จากโมนาโกเข้ามาอีกคน ทำให้คุณค่าที่เวทเทลมีต่อทีมมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด และสุดท้ายมันก็นำมาสู่การบอกลาซึ่งกันและกันสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย และเป็นทางแอสตัน มาร์ตินที่สนใจจะนำตัวและประสบการณ์ที่เวทเทลมีไปพัฒนาทีมของตน

การย้ายไปร่วมงานกันของเซบาสเตียน เวทเทลกับค่ายใหม่อย่างแอสตัน มาร์ตินในครั้งนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะหากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของวงการแข่งรถสูตรหนึ่งนั้น จะเห็นได้ว่ายังไม่มีเลยแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะมีชื่อของค่ายแอสตัน มาร์ตินอยู่ในทำเนียบแชมป์โลก และถึงแม้ว่าเวทเทลจะมีอายุค่อนข้างมากแล้วแต่ด้วยฝีมือและประสบการณ์ระดับแชมป์โลกของเขาก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน และถ้าหากเขาสามารถนำแอสตัน มาร์ตินก้าวสู่ตำแหน่งแชมป์โลกได้แล้วละก็ นี่จะเป็นการเซ็นสัญญาครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

เมื่อเฟอร์นันโด อลอนโซ่ อดีตแชมป์โลกเอฟวัน หวนคืนสังเวียนอีกครั้ง

นับว่าเป็นข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนกีฬาแข่งรถสูตรหนึ่งไม่น้อย ที่หนึ่งในนักแข่งผู้ยิ่งใหญ่ที่ประกาศเลิกเล่นไปแล้วตัดสินใจจะหวนกลับมาลงสนามแข่งอีกครั้งกับทีมเรย์โนลด์ทีมที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำเก่าของเขา หลังจากที่เคยประกาศเลิกเล่นไปนานถึงสองปีซึ่งเรื่องนี้ นับเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างมากเลยทีเดียวสำหรับแฟนกีฬา โดยเฉพาะแฟนทีมเรย์โนลด์ที่ต้องถือว่าเฟอร์นันโด อลอนโซ่เป็นเหมือนตำนานนักแข่งของทีม

นั้นก็เพราะว่านับตั้งแต่ทีมเรย์โนลด์เข้าร่วมการแข่งขันรถสูตรหนึ่งมา นักแข่งในทีมที่สามารถพาพวกเขาก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งแชมป์โลกได้ก็คือชายคนนี้เพียงคนเดียวนั่นเอง และเขาสามารถทำได้ถึงสองสมัยติดต่อกันอีกด้วยในปี 2005 และ 2006 ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ยากไม่น้อยสำหรับการขึ้นไปเบียดทีมอย่างม้าลำพอง เฟอร์รารี่ในยุคทองของมิชาเอล ชูมัคเกอร์ที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน แต่เขาก็สามารถทำมันได้มาแล้วอย่างยิ่งใหญ่

ดังนั้นการตัดสินใจกลับมาลงสนามแข่งอีกครั้งของเฟอร์นันโด อลอนโซ่ยอดนักแข่งชาวสเปนวัย 39 ปีในครั้งนี้ มันจึงเป็นเหมือนการเติมรอยยิ้มและความหวังในการกลับไปสู่บัลลังก์แชมป์ให้กับผู้บริหาร ทีมงานและแฟน ๆ ของทีมเรย์โนลด์อย่างมาก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันตัวของอลอนโซ่จะมีอายุล่วงเลยใกล้หลักสี่แล้วก็ตาม แต่ในเรื่องของประสบการณ์และคุณค่าทางจิตใจที่เขามีต่อทีมเรย์โนลด์นั้น ชายที่ชื่อเฟอร์นันโด อลอนโซ่ยังคงถือเป็นอันดับหนึ่งตลอดกาลที่ยังไม่เคยมีใครจะเข้ามาทดแทนและทำผลงานได้อย่างที่เขาเคยทำได้ในอดีตได้เลย

สำหรับการตัดสินใจหวนกลับมาสู่วงการของเฟอร์นันโด อลอนโซ่ที่กลับมาเซ็นสัญญากับทีมเป็นเวลา 2 ปีนั้นทางเจ้าตัวก็มีการเปิดเผยว่า หลังจากที่เขาได้ประกาศแขวนพวงมาลัยไปนานถึงสองปีและพยายามหากิจกรรมอื่นเข้ามาทดแทน แต่เขากลับพบว่ามันไม่มีเกมกีฬาใดที่จะสามารถตอบสนองความท้าทายและความรักที่เขามีให้ได้เหมือนกับการแข่งรถเลยแม้แต่อย่างเดียว เขาจึงอยากจะกลับมาสัมผัสกับบรรยากาศการแข่งขันที่เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขานี้อีกครั้ง

การกลับสู่วงการฟอร์มูล่าวันอีกครั้งของเฟอร์นันโด อลอนโซ่นั้นนอกจากจะเป็นข่าวดีของแฟนกีฬารถแข่งทีมเรย์โนลด์แล้ว สำหรับแฟน ๆ กีฬารถสูตรหนึ่งทีมอื่น ๆ ก็เชื่อว่าจะสร้างความตื่นเต้นได้มากเลยทีเดียวเพราะถ้าหากมองย้อนกลับไปถึงรายชื่อของนักแข่งทีมต่าง ๆ ในฤดูกาลหน้า ที่จะเป็นการขับเคี่ยวของนักแข่งที่มีทั้งรุ่นหนุ่มไฟแรงและรุ่นเก๋าประสบการณ์ที่มีอลอนโซ่รวมมาอีกคนแล้ว มันก็พอจะจินตนาการได้เลยว่าการแข่งขันในฤดูกาลหน้านั้นมันจะดุเด็ดเผ็ดมันเพียงใด

เขมินท์ คูโบะ นักบิดชาวไทยที่กำลังไปได้สวยในระดับนานาชาติ

สำหรับกีฬาประเภทแข่งขันความเร็วนั้น มอเตอร์ไซค์ทางเรียบถือว่าเป็นการแข่งขันที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับแฟน ๆ กีฬาความเร็วชาวไทย ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็เพราะว่าเป็นประเภทกีฬาที่มักจะมีนักบิดฝีมือดีจากประเทศไทยเรา ที่ขึ้นไปทำผลงานในระดับนานาชาติมาแล้วหลายต่อหลายคน และนักบิดขวัญใจคนไทยและน่าจับตามองในยุคปัจจุบันคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กหนุ่มวัย 21 ปีเจ้าของคำพูด “ลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น พูดไทยได้นิดหน่อย พูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย” อย่างเขมินท์ คูโบะนั่นเอง

เส้นทางการเป็นนักบิดของเขมินท์ คูโบะหรือที่มีชื่อเล่นว่า “เคเคซัง” นั้นเริ่มต้นมากับความหลงใหลในความเร็วและมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะว่าเคเคนั้นมีคุณพ่อชาวญี่ปุ่นที่เป็นอดีตนักแข่งด้วยเช่นกัน ถ้าจะเรียกว่ามันอยู่ในสายเลือดเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเมื่อตัวของเขาเริ่มที่จะให้ความสนใจในมอเตอร์ไซค์จึงได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทางครอบครัว โดยเริ่มต้นตั้งแต่การสัมผัสกับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในวัยเพียงแค่ 3-4 ขวบกันเลยทีเดียว

และเขาเริ่มเข้าสู่การแข่งขันที่จริงจังก็คือในแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก รายการเอฟเอ็มเอสซีทีก่อนที่จะเลื่อนระดับตัวเองขึ้นมาจนถึงระดับโมโตทูในปัจจุบัน ภายใต้สังกัดยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม และเป็นผลผลิตของวีอาร์ 46 มาสเตอร์แคมป์ หรือแคมป์ปั้นเด็กของ “พ่อหมอ” วาเลนติโน่ รอสซี่นั่นเอง ซึ่งผลงานในช่วงที่ผ่านมาของเขาก็อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจเลยทีเดียว โดยเฉพาะในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์เอเชียที่เจ้าตัวสามารถคว้าโพเดียมมาครองได้สำเร็จทั้งสองรายการที่ลงแข่ง

นอกจากในระดับเอเชียแล้วเขมินท์ คูโบะยังยกระดับตัวเองก้าวไปสู่เวทีที่ใหญ่ขึ้นในระดับโลกอีกด้วยโดยได้เข้าร่วมในรายการแข่งขันชิงแชมป์โลกรุ่น ซีอีวี โมโตทู ในรายการ “เอฟไอเอ็ม ซีอีวี โมโตทู ยูโรเปี้ยน แชมป์เปี้ยนชิพ” ซึ่งในสนามที่ 5 ของฤดูกาล 2019 ที่จัดการแข่งขันที่สนามเซอร์กิโต เดอ เคเรซ ประเทศสเปน เขาก็ทำผลงานได้สุดยอดบิดเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 5 ได้สำเร็จอีกด้วย

ผลงานจากวันนั้นจนถึงวันนี้ของนักบิดดาวรุ่งอย่างเขมินท์ คูโบะนั้นต้องบอกว่าอยู่ในช่วงของการพัฒนาและมีความหวังที่จะได้เห็นอนาคตอันสดใสบนเส้นทางนักบิดของเขารออยู่ในอีกไม่ไกล ซึ่งแน่นอนว่ามันมาจากความรักที่เขามีต่อกีฬาชนิดนี้และทำให้เขาเรียนรู้และลงแข่งอย่างมีความสุขเสมอโดยสังเกตได้ชัดจากสีหน้าของเขาในยามที่พูดคุยถึงเรื่องนี้ และยังมีแรงผลักดันสนับสนุนจากทางครอบครัวอีกด้วย ทำให้ดูแล้วเด็กหนุ่มคนนี้น่าจะไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่ บางทีเราอาจจะได้เห็นเขาไปยืนอยู่บนโพเดียมโมโตจีพีในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้

แรงไม่หยุด ลูอิส แฮมิลตันกับการเป็นแชมป์โฮมเรซมากที่สุดในประวัติศาสตร์

ในวงการกีฬาแข่งรถที่เร็วที่สุดในโลกอย่างฟอร์มูล่าวันนั้น เรามักจะเห็นสุดยอดนักแข่งผลัดกันขึ้นมาสร้างความรุ่งโรจน์ให้กับตัวเองและต้นสังกัดอยู่เรื่อย ๆ และก็จะมีบางคนที่สามารถยืนระยะบนจุดสูงสุดได้อย่างยาวนาน จนสามารถเรียกว่าเป็นยุคทองของตนเองเลยก็ว่าได้ยกตัวอย่างชื่อที่แฟนความเร็วจดจำกันได้ดีก็คือมิชาเอล ชูมัคเกอร์นักแข่งชาวเยอรมันที่นอกจากจะยืนระยะได้อย่างยาวนานแล้ว เขายังกวาดแชมป์โลกมาได้จนเป็นสถิติมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ 7 สมัยอีกด้วย

แต่ในปัจจุบันนั้นชายผู้เป็นเจ้าของยุคทองที่แท้จริงก็คือ ยอดนักขับชาวอังกฤษที่ชื่อว่า ลูอิส แฮมิลตันที่พาต้นสังกัดอย่างเมอร์ซิเดสครองความเป็นเจ้าสนามมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญตอนนี้เขาสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาครองได้ถึง 6 สมัยซึ่งเท่ากับว่าเขากำลังจะก้าวขึ้นไปทาบสถิติของชูมัคเกอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และความหมายที่ตามมาของเรื่องนี้ก็คือเขามีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งตลอดกาลแทนที่ชูมัคเกอร์อีกนั่นเอง เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุถึง 35 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในสนามด้วยฟอร์มที่ร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มิชาเอล ชูมัคเกอร์นั้นเลิกขับแขวนพวงมาลัยไปนานแล้วนั่นเอง

และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องหมายการันตีความยิ่งใหญ่ของเขาก็คือ การที่เขาสามารถคว้าแชมป์การแข่งขันรายการบริติช เวิร์ลด์ กรังด์ปรี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีเรื่องราวดราม่าเกิดขึ้นบ้างในการแข่งขัน แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าตัวนั้นก้าวขึ้นไปครองสถิติการเป็นแชมป์โฮมเรซหรือการแข่งขันในบ้านเกิดตัวเองได้มากที่สุดในโลกที่ 7 ครั้งแซงหน้าเจ้าของสถิติเดิมอย่างอแลง พรอสต์ที่เคยคว้าแชมป์เฟร้นช์ กรังด์ปรีซ์มาครองได้ 6 สมัย ในช่วงยุค 80 และนอกจากนั้นการคว้าแชมป์โฮมเรซในครั้งนี้ ยังเป็นการเพิ่มสถิติการเป็นแชมป์ให้เขารวมทั้งหมดเป็น 87 รายการ ทำให้เขาตามหลังสถิติโลกของมิชาเอล ชูมัคเกอร์ที่ทำได้ 91 ครั้ง อยู่เพียงแค่ 4 รายการเท่านั้นเอง

ถึงแม้ว่าอายุของลูอิส แฮมิลตันจะเริ่มเข้าสู่ปลายเส้นทางการเป็นนักแข่งอาชีพแล้ว แต่ด้วยผลงานของเขาที่กำลังอยู่ในช่วงพีคที่สุดและมีแรงกระตุ้นจากสถิติต่าง ๆ ที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกฟอร์มูล่าวันแทนตำนานคนเดิมอย่างมิชาเอล ชูมัคเกอร์นี่แหละที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้เขายังคงมีไฟในการแข่งขันอีกต่อไป และหากย้อนไปดูตัวเลขสถิติต่าง ๆ ที่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เชื่อว่าถ้าหากเขาสามารถยืนระยะในการแข่งขันระดับสูงของเขาได้อีกเพียงแค่สองสามปี เราคงจะได้เห็น G.O.A.T. (ที่สุดตลอดกาล) ของการแข่งขันรถสูตรหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นชื่อของ “ลูอิส แฮมิลตัน” อย่างแน่นอน