Author: editcdeo0a22or

ก้าวต่อไปบนเส้นทางเส้นโมโตจีพี ของพ่อหมอ วาเรนติโน่ รอสซี่

ใครหลายคนที่เป็นแฟนกีฬาแห่งโลกความเร็วโดยเฉพาะสายนักบิด คงจะมีความกังวลไม่น้อยกับอนาคตของนักบิดขวัญใจของตัวเองอย่าง “พ่อหมอ” แห่งวงการนักบิดอย่าง วาเลนติโน่ รอสซี่ ที่ดูเหมือนว่าจะเข้าสู่บั้นปลายของชีวิตการเป็นนักบิดแล้ว ว่าจะเอาอย่างไรต่อไปกับอนาคตบนเส้นทางโลกความเร็วของเขา ซึ่งนับวันจะเหลือเวลาให้ชมลีลาในสนามของเขาเข้าไปทุกวันแล้วนั่นเอง

สำหรับนักบิดเจ้าของฉายา “เดอะ ด็อกเตอร์” หรือที่แฟนโมโตจีพีชาวไทยเรียกกันว่า “พ่อหมอ” นั้นต้องบอกเลยว่าเขาคือตำนานของวงการนักบิดที่ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการในปัจจุบัน ซึ่งแฟนกีฬาผู้หลงใหลในการแข่งขันประเภทสองล้อต่างก็รู้จักชื่อของเขามานานกว่า 20 ปี ซึ่งนอกจากจะทำให้เห็นในความยิ่งใหญ่ของรอสซี่แล้วมันยังทำให้แฟนกีฬารู้สึกรักและผูกพันกับเขาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา และมันก็นำมาซึ่งความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเขาในวัยที่เกินหลักสี่ไปแล้ว ว่าจะยังคงลงโชว์ลีลาการบิดให้ได้ชมต่ออีกหรือไม่

ซึ่งทางฝั่งเจ้าตัวของพ่อหมอเองก็ได้ออกมายอมรับแล้วว่าเขายังคงมีไฟที่อยากจะลงแข่งขันอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ถึงแม้ว่าใครหลายคนจะมองว่าเขามีอายุมากแล้ว อีกทั้งยังต้องเสียตำแหน่งในทีมโรงงานยามาฮ่าในฤดูกาลหน้าให้กับนักบิดรุ่นน้องอย่าง ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ ที่ถูกเลือกให้ขึ้นมาเป็นคู่หู่ของ มาเวริค บีญาเรสแทนเขา และอาจจะทำให้เขาได้ลงแข่งในนาม ปิโตรนาส ยามาฮ่า เอสอาร์ทีแทนในฤดูกาลหน้า ซึ่งก็น่าจะเหมาะสมกับพ่อหมอในช่วงอายุที่มากขึ้น เพราะทางรอสซี่เองก็ออกมาบอกว่า ถึงแม้เขาจะยังคงอยากโลดแล่นอยู่ในสนาม แต่ก็ไม่อยากให้การแข่งขันในโมโตจีพีฤดูกาลหน้า เข้ามาเป็นส่วนสร้างแรงกดดันให้กับชีวิตของเขามากเหมือนที่ผ่านมา

การที่พ่อหมอออกมายืนยันว่าจะยังคงทำการแข่งขันต่อไปอีกในฤดูกาลหน้านั้น คงจะทำให้แฟน ๆ โมโตจีพีทั่วโลกใจชื้นขึ้นมาได้บ้างที่จะได้เห็นพ่อหมอแห่งวงการนักบิดยังคงลงวาดลวดลายในสนามให้ได้ชมต่อไปอีก เพราะสิ่งที่เขาสร้างมาตลอดชีวิตการเป็นนักบิดของเขานั้น นอกจากความสำเร็จระดับที่สามารถเรียกว่าตำนานได้แล้ว ก็คือการที่เขาสามารถก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของแฟนโมโตจีพีได้อย่างเต็มตัวตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา และสิ่งเหล่านั้นจะยังคงอยู่ให้แฟน ๆ ได้เห็นอีกอย่างน้อยหนึ่งปี ซึ่งนอกจากจะทำให้เรายังได้เห็นวงการนักบิดที่มีวาเลนติโน่ รอสซี่อยู่ต่อไปอีกแล้ว บางทีมันอาจจะเป็นช่วงเวลาเพิ่มความสำเร็จให้กับเขา เพื่อทำให้ตำนานบทนี้ยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีกก็เป็นได้

มาร์ค มาเกวซ รอวันที่จะกลับมาไล่ล่าการเป็นจ้าวสนามโมโตจีพีอีกครั้ง

การขาดหายไปจากวงการโมโตจีพีของนักบิดคนสำคัญ และอาจจะเรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างเจ้าเด็กระเบิด หรือมาร์ค มาร์เกวซนั้น สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันทำให้วงการสิงห์นักบิดหมดความสนุกลงไปมากเลยทีเดียวจนมีผู้ชนะบางคนออกปากว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ชนะที่แท้จริง เพราะในการแข่งขันไม่มีชื่อของมาร์ค มาร์เกวซอยู่ด้วย ซึ่งทางต้นสังกัดของมาร์เกวซอย่างฮอนด้าก็ออกมายืนยันอย่างแน่นหนักแล้วว่า จะไม่ส่งเขาลงสนามอย่างแน่นอนหากว่ายังไม่กลับมาฟิตเต็มร้อย หรือมีโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เขากลับไปได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง

ซึ่งถ้าหากลองมองย้อนกลับไปถึงเหตุผลของทางต้นสังกัดของเขาอย่างฮอนด้าแล้วละก็ มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างมากในการที่จะไม่ดันทุรังให้เจ้าเด็กระเบิดผู้นี้ลงแข่งในขณะที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บเต็มร้อย ซึ่งจะนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บอีกครั้งของเขา เพราะนอกจากมาร์เกวซจะเป็นนักบิดหมายเลขหนึ่งของทีมฮอนด้าแล้วเขายังเป็นผู้ไล่ล่าอันดับหนึ่งที่มีโอกาสจะแซงหน้าขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก แซงหน้านักบิดระดับตำนานของทีมคู่แข่งตลอดกาลยามาฮ่า อย่างวาเลนติโน่ รอสซี่อีกด้วย ซึ่งตอนนี้ถ้าจะนับความสำเร็จของทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกันแล้ว มาร์ค มาร์เกวซมีความสำเร็จระดับแชมป์โลกเป็นรองรอสซี่อยู่แค่เพียงสมัยเดียวเท่านั้นเอง

และหากมองที่อายุของทั้งสองคนที่ในปัจจุบันวาเลนติโน่ รอสซี่มีอายุมากถึง 41 ปี แต่มาร์ค มาร์เกวซนั้นอายุพึ่งจะเพียงแค่ 27 เท่านั้นเอง ซึ่งหากลองเทียบง่าย ๆ ว่าสองคนนี้มีฝีมืออยู่ในระดับสูงเหมือนกัน ดังนั้นก็เชื่อว่ามาร์เกวซนั้นคงจะสามารถลงแข่งได้จนอายุเท่า ๆ กันกับรอสซี่ นั่นเท่ากับว่าเขาจะมีเวลาในการแซงผ่านรอสซี่มากกว่าสิบปีเลยทีเดียว ซึ่งหากเขากลับมาฟิตสมบูรณ์เมื่อไหร่ค่อยมาจัดการกับสถิติโลกของพ่อหมอก็ยังทันอยู่ดี มันจึงไม่มีเหตุผลใดที่ทางต้นสังกัดจะเร่งให้เขาลงสนาม

นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ช่วงปี 2000 เป็นต้นมา วงการนักบิดของโลกต่างก็รู้ว่ามันคือยุคทองของชายที่ชื่อว่า “วาเลนติโน่ รอสซี่” จวบจนกระทั่งการแจ้งเกิดในวงการโมโตจีพีของ “เจ้าเด็กระเบิด” มาร์ค มาร์เกวซ และจากผลงานที่ผ่ามมาของเขาแฟนกีฬาจากทั่วโลกต่างก็คาดว่ามาร์เกวซนี่แหละที่จะเป็นผู้โค่นตำนานอย่าง “เดอะ ดอกเตอร์” วาเลนติโน่ รอสซี่ และขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งและตำนานแห่งวงการแทน เพียงแต่ตอนนี้ยังคงต้องรอให้เขารักษาร่างกายให้หายดีก่อน แล้วค่อยมาดูว่าเขาจะสามารถทำมันสำเร็จได้หรือไม่ และที่สำคัญฤดูกาลหน้าจะยังคงได้เห็นพวกเขาขับเคี่ยวกันโดยตรงอีกหนึ่งฤดูกาลอีกด้วย

แชมป์แรกในชีวิตของ ฟรังโก มอร์บิเดลลี่

ในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลกรายการโมโตจีพี 2020 สนามที่ 7 ของฤดูกาล รายการซาน มาริโน กรังด์ปรีซ์ ที่จัดการแข่งขันขึ้นที่สนาม มิซาโน เวิร์ลด์ เซอร์กิต มาร์โก ซิมอนเชลลี่ ที่ตั้งอยู่ในเมืองริมินี แคว้นเอมีเลีย โรมันญ่า ประเทศอิตาลีที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่าแชมป์ประจำสนามนี้ตกเป็นของนักบิดเจ้าถิ่นอย่าง ฟรังโก มอร์บิเดลลี่ที่สามารถคว้าชัยไปได้สำเร็จ

การที่นักบิดชาวอิตาลีคว้าแชมป์ได้สำเร็จบนแผ่นดินตัวเองในครั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจและน่าจดจำก็คือมันเป็นการคว้าแชมป์รายการแรกในชีวิตการเป็นนักบิดในรายการโมโตจีพีของเขานั้นเอง ซึ่งมันเกิดขึ้นหลังจากเขาเลื่อนชั้นขึ้นสู่โมโตจีพีเป็นฤดูกาลที่สามด้วยกัน โดยเขาเริ่มต้นการแข่งในรุ่นโมโตจีพีเป็นครั้งแรกในปี 2018 กับทีมต้นสังกัดเดิมคือฮอนด้าก่อนที่เพียงหนึ่งปีหลังจากนั้นเขาจะจะย้ายสังกัดข้ามฟากมาอยู่กับปริโตนาส ยามาฮ่าจนถึงปัจจุบัน

ในส่วนของเรื่องฝีไม้ลายมือนั้นมอร์บิเดลลี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในนักบิดที่น่าจับตามองอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะพึ่งได้สัมผัสกับแชมป์สนามแรกในรายการโมโตจีพี แต่ก่อนหน้านั้นในการแข่งขันรุ่นโมโตทูเมื่อปี 2017 ฟรังโก มอร์บิเดลลี่นั้นสามารถก้าวไปถึงการเป็นแชมป์โลกมาแล้วนั่นเอง ทำให้แฟน ๆ ของยามาฮ่าต่างก็หวังจะเห็นเขาก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์โลกได้และนำทีมต้นสังกัดกลับมาสู่เส้นทางความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง และการเริ่มต้นนับหนึ่งของการเป็นแชมป์ในรุ่นนี้ของเขาอาจจะเป็นเหมือนการปลดล็อกให้กับเส้นทางสู่ความฝันของเขาและแฟน ๆ ก็เป็นได้

ปัจจุบันฟรังโก มอร์บิเดลลี่มีอายุ 25 ปี ซึ่งดูแล้วก็คงจะเหลือเวลาให้เขาพัฒนาฝีมือและเก็บเกี่ยวความสำเร็จให้กับตัวเองและต้นสังกัดได้อีกนานพอสมควร แต่ก็คงจะต้องบอกว่าต้องทำงานหนักชนิดที่เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็นเลยทีเดียว ในการที่จะพาต้นสังกัดของเขาบิดไล่กวาดจ้าวถนนคนปัจจุบันอย่างมาร์ค มาร์เกวซที่ร้อนแรงเหลือเกินในยุคนี้ ทางเดียวก็คือเขาจะต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับนักบิดรุ่นพี่ของทีมสัญชาติเดียวกันอย่าง “พ่อหมอ” วาเลนติโน่ รอสซี่เลยถึงจะมีโอกาสโค่นมาร์เกวซลงได้

อย่างไรก็ตามการคว้าแชมป์รายการแรกของเขาในครั้งนี้ก็เป็นสัญญาณที่ดีของเขาและต้นสังกัด โดยเฉพาะสำหรับตัวเขาเองแล้วการคว้าแชมป์แรกมาได้คงจะทำให้เขาคลายความกดดันลงไปได้ไม่น้อย แถมตอนนี้ยังได้มาอยู่ทีมเดียวกันกับยอดนักบิดอย่างรอสซี่อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงปลายของอาชีพของพ่อหมอแล้ว แต่เชื่อว่าประสบการณ์และเทคนิคที่รอสซี่มีจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและยกระดับฝีมือของมอร์บิเดลลี่อย่างมากแน่นอน ถ้าเขาอาศัยปัจจัยเหล่านี้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไป แชมป์รายการต่อ ๆ ไปคงตามมาอีกเป็นแน่

อิเนีย บาสเตียนินี่ ดาวรุ่งอิตาลีซบดูคาติเลื่อนคลาสบิดในปีหน้า

นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับการที่ค่ายมอเตอร์ไซค์ยักใหญ่ของประเทศอิตาลี ได้ทำการดึงตัวนักบิดดาวรุ่งสัญชาติเดียวกันอย่าง อีเนีย บาสเตียนีนี่เข้ามาร่วมทีมซึ่งนี่เป็นการเซ็นสัญญา ที่ถือเป็นก้าวสำคัญเลยก็ว่าได้สำหรับทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นทางค่ายดูคาติ หรือทางฝั่งเจ้าตัวของบาสเตียนีนี่เอง

สำหรับทางฝั่งค่ายดูคาติเองซึ่งถือว่าเป็นค่ายยักษ์ของวงการนั้น แน่นอนว่าการได้ตัวบาสเตียนีนี่มานั้น เหมือนกับการได้วางแผนการเซ็นสัญญาเพื่อความสำเร็จในระยะยาวของทีม เพราะในปัจจุบัน อิเนีย บาสเตียนีนี่ เองก็เป็นนักบิดายุน้อยที่ได้รับการยอมรับในฝีไม้ลายมือในระดับสูงคนหนึ่ง และการชิงดึงตัวเขามาไว้กับทีมนั้นนอกจากจะเป็นการเสริมกำลังในระยะยาวให้กับพวกเขาแล้ว ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นการชิงตัดหน้าไม่ให้คู่แข่งสำคัญดึงตัวเขาไปร่วมทีมอีกก่อนอีกด้วย

และสำหรับประโยชน์ส่วนตัวของทางอิเนีย บาสเตียนีนี่เองนั้นการเซ็นซบดูคาติในครั้งนี้มันก็เป็นการยกระดับของตัวเองบนเส้นทางนักบิดให้สูงไปอีกขั้น เพราะถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่สามรถกำหนดได้แน่ชัดว่าจะได้ลงบิดในนามทีมใดของดูคาติ แต่ที่แน่ ๆ มันจะทำให้เขาก้าวขึ้นมาลงแข่งขันในรุ่นพรีเมียร์ คลาสของโมโตจีพีอย่างเต็มตัวเสียที ซึ่งมันจะเป็นก้าวสู่จุดสูงสุดบนเส้นทางอาชีพนักบิดของเขาอย่างแท้จริง และมันเกิดขึ้นในขณะที่เขามีอายุได้เพียงแค่ 22 ปีเท่านั้นเอง ซึ่งมันเป็นการเริ่มต้นที่รวดเร็วมากของเขาและสิ่งที่จะตามมาก็คือมันจะทำให้เขามีช่วงเวลาในการไล่ล่าความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

ผลงานการแข่งขันที่ผ่านมาของอิเนีย บาสเตียนีนี่นั้น ถ้าหากเป็นแฟนตัวจริงของการแข่งขันกีฬาโมโตจีพีแล้วละก็ เชื่อว่าคงจะเห็นมาบ้างแล้วพอสมควรสำหรับลีลาของนักบิดหนุ่มผู้นี้นับตั้งที่ลงแข่งขันในรุ่นจีพี 3 กับเคทีเอ็มและฮอนด้าซึ่งสามารถเก็บชัยชนะมาได้ 3 สนาม และขึ้นโพเดียมได้ถึง 24 ครั้งจากการออกสตาร์ททั้งหมด 88 ครั้ง และสามารถจบที่อันดับ 4 ของรายการได้ในปี 2018 ก่อนที่จะขยับขึ้นสู่ จีพี 2 ซึ่งเขาก็พาตัวเองจบได้ในอันดับที่ 10 ของปี 2019

การได้มาร่วมงานกันครั้งนี้ของอิเนีย บาสเตียนีนี่กับดูคาตินั้น ต้องบอกเลยว่าเป็นการร่วมงานกันที่เหมาะสมและลงตัวที่สุด เพราะการที่ดูคาติเป็นหนึ่งค่ายยักษ์ของวงการซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เรียกว่ายักษ์หลับนั้น การที่บาสเตียนีนี่จะหาโอกาสสดแทรกตัวเองขึ้นไปก็ย่อมจะไม่ใช่เรื่องยาก ในขณะเดียวกันทางดูคาติเองก็ได้นักบิดระดับคุณภาพที่จะฝากอนาคตของค่ายไว้ได้ในระยะยาวเช่นกัน

อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ นักแข่งเอฟวันสัญชาติไทยที่ผลงานอยู่ในระดับโลก

ต้องบอกว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างมากสำหรับประเทศไทย ที่ในตอนนี้เรามีนักแข่งรถฟอร์มูล่าวันที่อยู่ในเวทีระดับโลกที่เป็นสัญชาติไทยกับเขาเสียที และเขาคนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมาเล่น ๆ เสียด้วยสิ เพราะผลงานของเขาที่ปัจจุบันอยู่ในสังกัดของทีมเรดบูล เรซซิ่ง-ฮอนด้า นั้นก็ดูจะโดดเด่นพอสมควรเลยทีเดียว

สำหรับอเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์นั้นปัจจุบันมีอายุ 24 ปี ซึ่งเขาเกิดที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษโดยมีคุณแม่เป็นชาวไทยคือคุณกัญญ์กมล อังศุสิงห์ ทำให้เขาเลือกที่จะใช้สัญชาติไทยตามคุณแม่ ส่วนเลือดการเป็นนักแข่งของเขานั้นต้องบอกว่ามาจากคุณพ่อเต็ม ๆ เพราะคุณพ่อของเขาคือ ไนเจล อัลบอนนั้นเป็นอดีตนักแข่งรถและอยู่ในทีมช่างรถแข่งอีกด้วย ทำให้เขาได้รับการปลูกฝังและส่งเสริมในการแข่งรถมาตั้งแต่เด็ก และทำให้เขาก้าวเข้ามาอยู่ในวงการแข่งรถฟอร์มูล่าวันได้ในวัยเพียงแค่ยี่สิบต้น ๆ อย่างเช่นที่เห็นในวันนี้

ส่วนผลงานของเขานั้นก็เรียกว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะเมื่อไม่นานมานี้ในการแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก 2020 สนามที่ 9 รายการทัสคานี่ เฟอร์รารี่ 1000 กรังด์ปรีที่สนามมูเจลโล เซอร์กิต เมืองฟลอเรนซ์ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2563 ที่ผ่านมาได้ถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่าคือครั้งแรกที่ธงไตรรงค์ของประเทศไทยได้โบกสะบัดเหนือโพเดียมการแข่งขันฟอร์มูล่าวันชิงแชมป์โลก เมื่ออเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์สามารถเข้าป้ายมาเป็นอันดับที่สาม ตามหลังอันดับหนึ่งคือแชมป์โลก 6 สมัยอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน และอันดับที่สองวัลต์เทรี่ บอตทาส ชาวฟินแลนด์ ซึ่งเป็นสองนักขับจากสังกัดเมอร์ซิเดส ส่งตัวเองขึ้นโพเดียมไปได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

นับเป็นความสำเร็จและเป็นการยกระดับตัวเขาเองขึ้นไปอีกขั้นสำหรับการก้าวขึ้นสู่โพเดียมได้สำเร็จในครั้งนี้ และหากย้อนกลับไปดูอายุของเขานั้นก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นอาชีพนักแข่งเท่านั้นเอง ดังนั้นหากว่าเขายังคงพัฒนาฝีมือของตัวเองอย่างต่อเนื่องแล้วละก็ ซักวันเราอาจจะฝันถึงแชมป์โลกรถสูตรหนึ่งสัญชาติไทยก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม

ปรากฏการที่อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์สร้างขึ้นในวงการแข่งขันรถสูตรหนึ่งนั้นถือว่าเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับวงการแข่งรถเมืองไทย เพราะในอดีตมันเป็นเรื่องที่ยากมากที่เด็กไทยสักคนจะก้าวขึ้นไปอยู่ตรงจุดนี้ เรื่องราวของเขามันจึงเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับเด็กไทย ที่ทำให้เห็นว่าคนไทยก็ทำได้ดีไม่แพ้ชาติใดเช่นกัน และด้วยการที่โลกในยุคที่ทุกอย่างพัฒนาไปมากอย่างทุกวันนี้มันก็ทำให้โอกาสที่จะเข้าถึงการเป็นนักขับเอฟวันไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เราอาจจะได้เห็นนักขับชาวไทยบนเวทีระดับโลกมากขึ้นอีกก็เป็นได้

ได้คำตอบแล้ว สถานีใหม่ของเวทเทล ซบแอสตัน มาร์ติน

หลังจากที่ทิ้งปริศนาไว้ให้แฟนกีฬาแข่งรถฟอร์มูล่า วัน ได้คาดการกันไปต่าง ๆ นานาสำหรับอนาคตของนักแข่งดีกรีแชมป์โลกอย่าง เซบาสเตียน เวทเทล ที่ยืนยันหนักแน่นว่าจะทำการแยกทางจากทีมม้าลำพอง เฟอร์รารี่ที่เขาอยู่มานานถึง 6 ปี และในวันนี้ก็เป็นที่ยืนยันค่อนข้างแน่แล้วว่าปลายทางสถานีต่อไปของเขานั้นคือค่ายซูเปอร์คาร์จากเกาะอังกฤษอย่าง แอสตัน มาร์ตินนั่นเอง

แรกเริ่มเดิมทีนั้นเซบาสเตียน เวทเทลคือหนึ่งในนักแข่งรถฟอร์มูลาร์วันที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเขาสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาครองได้มากถึง 4 สมัย เมื่อครั้งอยู่กับทีมเก่าอย่างเรดบูลและนั่นทำให้ค่ายยักษ์หลับอย่างเฟอร์รารี่ที่ห่างหายจากการเป็นแชมป์โลกไปนานตั้งแต่สมัยคิมี่ ไรโคเน่น ทั้ง ๆ ที่เคยครองความเป็นเจ้าสนามในยุคทองของมิเชล ชูมัคเกอร์ก่อนหน้านั่นไม่กี่ปี ตัดสินใจดึงตัวเขามาร่วมทีมเพื่อหวังจะกลับไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง รวมไปถึงยืนระยะได้ยาวนานเหมือนที่ชูมัคเกอร์เคยทำ

มันดูเหมือนว่าจะเป็นการเซ็นสัญญาที่สวยงามและน่าจะประสบความสำเร็จ ในการที่ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างเฟอร์รารี่ได้ตัวแชมป์โลกสี่สมัยอย่างเซบาสเตียน เวทเทลมาร่วมทีม แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะตลอดหกฤดูกาลที่อยู่กับทีมม้าลำพองเขาไม่สามารถพาตัวเองและทีมก้าวขึ้นไปสู่จุดนั้นได้เลย แถมกลายเป็นแค่ตัวประกอบให้กับความรุ่งโรจน์ของลูอิส แฮมิลตันแห่งทีมเมอร์ซิเดสที่กวาดแชมป์เป็นว่าเล่นอีกด้วย จึงต้องนับว่าเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกับทีมม้าลำพอง

เมื่อเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ร่วมกันไม่เป็นไปแบบที่คิด บวกกับอายุของเขาที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันและที่สำคัญรายได้ที่เขารับกับทางเฟอร์รารี่มันคือค่าจ้างระดับแชมป์โลก เมื่อบวกกับปัจจัยอื่นอย่างการมีนักแข่งรุ่นน้องฝีมือดีอย่างชาร์ล เลอแคร์จากโมนาโกเข้ามาอีกคน ทำให้คุณค่าที่เวทเทลมีต่อทีมมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด และสุดท้ายมันก็นำมาสู่การบอกลาซึ่งกันและกันสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย และเป็นทางแอสตัน มาร์ตินที่สนใจจะนำตัวและประสบการณ์ที่เวทเทลมีไปพัฒนาทีมของตน

การย้ายไปร่วมงานกันของเซบาสเตียน เวทเทลกับค่ายใหม่อย่างแอสตัน มาร์ตินในครั้งนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะหากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของวงการแข่งรถสูตรหนึ่งนั้น จะเห็นได้ว่ายังไม่มีเลยแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะมีชื่อของค่ายแอสตัน มาร์ตินอยู่ในทำเนียบแชมป์โลก และถึงแม้ว่าเวทเทลจะมีอายุค่อนข้างมากแล้วแต่ด้วยฝีมือและประสบการณ์ระดับแชมป์โลกของเขาก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน และถ้าหากเขาสามารถนำแอสตัน มาร์ตินก้าวสู่ตำแหน่งแชมป์โลกได้แล้วละก็ นี่จะเป็นการเซ็นสัญญาครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

เมื่อเฟอร์นันโด อลอนโซ่ อดีตแชมป์โลกเอฟวัน หวนคืนสังเวียนอีกครั้ง

นับว่าเป็นข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนกีฬาแข่งรถสูตรหนึ่งไม่น้อย ที่หนึ่งในนักแข่งผู้ยิ่งใหญ่ที่ประกาศเลิกเล่นไปแล้วตัดสินใจจะหวนกลับมาลงสนามแข่งอีกครั้งกับทีมเรย์โนลด์ทีมที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำเก่าของเขา หลังจากที่เคยประกาศเลิกเล่นไปนานถึงสองปีซึ่งเรื่องนี้ นับเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างมากเลยทีเดียวสำหรับแฟนกีฬา โดยเฉพาะแฟนทีมเรย์โนลด์ที่ต้องถือว่าเฟอร์นันโด อลอนโซ่เป็นเหมือนตำนานนักแข่งของทีม

นั้นก็เพราะว่านับตั้งแต่ทีมเรย์โนลด์เข้าร่วมการแข่งขันรถสูตรหนึ่งมา นักแข่งในทีมที่สามารถพาพวกเขาก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งแชมป์โลกได้ก็คือชายคนนี้เพียงคนเดียวนั่นเอง และเขาสามารถทำได้ถึงสองสมัยติดต่อกันอีกด้วยในปี 2005 และ 2006 ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ยากไม่น้อยสำหรับการขึ้นไปเบียดทีมอย่างม้าลำพอง เฟอร์รารี่ในยุคทองของมิชาเอล ชูมัคเกอร์ที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน แต่เขาก็สามารถทำมันได้มาแล้วอย่างยิ่งใหญ่

ดังนั้นการตัดสินใจกลับมาลงสนามแข่งอีกครั้งของเฟอร์นันโด อลอนโซ่ยอดนักแข่งชาวสเปนวัย 39 ปีในครั้งนี้ มันจึงเป็นเหมือนการเติมรอยยิ้มและความหวังในการกลับไปสู่บัลลังก์แชมป์ให้กับผู้บริหาร ทีมงานและแฟน ๆ ของทีมเรย์โนลด์อย่างมาก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันตัวของอลอนโซ่จะมีอายุล่วงเลยใกล้หลักสี่แล้วก็ตาม แต่ในเรื่องของประสบการณ์และคุณค่าทางจิตใจที่เขามีต่อทีมเรย์โนลด์นั้น ชายที่ชื่อเฟอร์นันโด อลอนโซ่ยังคงถือเป็นอันดับหนึ่งตลอดกาลที่ยังไม่เคยมีใครจะเข้ามาทดแทนและทำผลงานได้อย่างที่เขาเคยทำได้ในอดีตได้เลย

สำหรับการตัดสินใจหวนกลับมาสู่วงการของเฟอร์นันโด อลอนโซ่ที่กลับมาเซ็นสัญญากับทีมเป็นเวลา 2 ปีนั้นทางเจ้าตัวก็มีการเปิดเผยว่า หลังจากที่เขาได้ประกาศแขวนพวงมาลัยไปนานถึงสองปีและพยายามหากิจกรรมอื่นเข้ามาทดแทน แต่เขากลับพบว่ามันไม่มีเกมกีฬาใดที่จะสามารถตอบสนองความท้าทายและความรักที่เขามีให้ได้เหมือนกับการแข่งรถเลยแม้แต่อย่างเดียว เขาจึงอยากจะกลับมาสัมผัสกับบรรยากาศการแข่งขันที่เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขานี้อีกครั้ง

การกลับสู่วงการฟอร์มูล่าวันอีกครั้งของเฟอร์นันโด อลอนโซ่นั้นนอกจากจะเป็นข่าวดีของแฟนกีฬารถแข่งทีมเรย์โนลด์แล้ว สำหรับแฟน ๆ กีฬารถสูตรหนึ่งทีมอื่น ๆ ก็เชื่อว่าจะสร้างความตื่นเต้นได้มากเลยทีเดียวเพราะถ้าหากมองย้อนกลับไปถึงรายชื่อของนักแข่งทีมต่าง ๆ ในฤดูกาลหน้า ที่จะเป็นการขับเคี่ยวของนักแข่งที่มีทั้งรุ่นหนุ่มไฟแรงและรุ่นเก๋าประสบการณ์ที่มีอลอนโซ่รวมมาอีกคนแล้ว มันก็พอจะจินตนาการได้เลยว่าการแข่งขันในฤดูกาลหน้านั้นมันจะดุเด็ดเผ็ดมันเพียงใด

เขมินท์ คูโบะ นักบิดชาวไทยที่กำลังไปได้สวยในระดับนานาชาติ

สำหรับกีฬาประเภทแข่งขันความเร็วนั้น มอเตอร์ไซค์ทางเรียบถือว่าเป็นการแข่งขันที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับแฟน ๆ กีฬาความเร็วชาวไทย ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็เพราะว่าเป็นประเภทกีฬาที่มักจะมีนักบิดฝีมือดีจากประเทศไทยเรา ที่ขึ้นไปทำผลงานในระดับนานาชาติมาแล้วหลายต่อหลายคน และนักบิดขวัญใจคนไทยและน่าจับตามองในยุคปัจจุบันคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กหนุ่มวัย 21 ปีเจ้าของคำพูด “ลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น พูดไทยได้นิดหน่อย พูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย” อย่างเขมินท์ คูโบะนั่นเอง

เส้นทางการเป็นนักบิดของเขมินท์ คูโบะหรือที่มีชื่อเล่นว่า “เคเคซัง” นั้นเริ่มต้นมากับความหลงใหลในความเร็วและมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะว่าเคเคนั้นมีคุณพ่อชาวญี่ปุ่นที่เป็นอดีตนักแข่งด้วยเช่นกัน ถ้าจะเรียกว่ามันอยู่ในสายเลือดเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเมื่อตัวของเขาเริ่มที่จะให้ความสนใจในมอเตอร์ไซค์จึงได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทางครอบครัว โดยเริ่มต้นตั้งแต่การสัมผัสกับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในวัยเพียงแค่ 3-4 ขวบกันเลยทีเดียว

และเขาเริ่มเข้าสู่การแข่งขันที่จริงจังก็คือในแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก รายการเอฟเอ็มเอสซีทีก่อนที่จะเลื่อนระดับตัวเองขึ้นมาจนถึงระดับโมโตทูในปัจจุบัน ภายใต้สังกัดยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม และเป็นผลผลิตของวีอาร์ 46 มาสเตอร์แคมป์ หรือแคมป์ปั้นเด็กของ “พ่อหมอ” วาเลนติโน่ รอสซี่นั่นเอง ซึ่งผลงานในช่วงที่ผ่านมาของเขาก็อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจเลยทีเดียว โดยเฉพาะในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์เอเชียที่เจ้าตัวสามารถคว้าโพเดียมมาครองได้สำเร็จทั้งสองรายการที่ลงแข่ง

นอกจากในระดับเอเชียแล้วเขมินท์ คูโบะยังยกระดับตัวเองก้าวไปสู่เวทีที่ใหญ่ขึ้นในระดับโลกอีกด้วยโดยได้เข้าร่วมในรายการแข่งขันชิงแชมป์โลกรุ่น ซีอีวี โมโตทู ในรายการ “เอฟไอเอ็ม ซีอีวี โมโตทู ยูโรเปี้ยน แชมป์เปี้ยนชิพ” ซึ่งในสนามที่ 5 ของฤดูกาล 2019 ที่จัดการแข่งขันที่สนามเซอร์กิโต เดอ เคเรซ ประเทศสเปน เขาก็ทำผลงานได้สุดยอดบิดเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 5 ได้สำเร็จอีกด้วย

ผลงานจากวันนั้นจนถึงวันนี้ของนักบิดดาวรุ่งอย่างเขมินท์ คูโบะนั้นต้องบอกว่าอยู่ในช่วงของการพัฒนาและมีความหวังที่จะได้เห็นอนาคตอันสดใสบนเส้นทางนักบิดของเขารออยู่ในอีกไม่ไกล ซึ่งแน่นอนว่ามันมาจากความรักที่เขามีต่อกีฬาชนิดนี้และทำให้เขาเรียนรู้และลงแข่งอย่างมีความสุขเสมอโดยสังเกตได้ชัดจากสีหน้าของเขาในยามที่พูดคุยถึงเรื่องนี้ และยังมีแรงผลักดันสนับสนุนจากทางครอบครัวอีกด้วย ทำให้ดูแล้วเด็กหนุ่มคนนี้น่าจะไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่ บางทีเราอาจจะได้เห็นเขาไปยืนอยู่บนโพเดียมโมโตจีพีในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้

แรงไม่หยุด ลูอิส แฮมิลตันกับการเป็นแชมป์โฮมเรซมากที่สุดในประวัติศาสตร์

ในวงการกีฬาแข่งรถที่เร็วที่สุดในโลกอย่างฟอร์มูล่าวันนั้น เรามักจะเห็นสุดยอดนักแข่งผลัดกันขึ้นมาสร้างความรุ่งโรจน์ให้กับตัวเองและต้นสังกัดอยู่เรื่อย ๆ และก็จะมีบางคนที่สามารถยืนระยะบนจุดสูงสุดได้อย่างยาวนาน จนสามารถเรียกว่าเป็นยุคทองของตนเองเลยก็ว่าได้ยกตัวอย่างชื่อที่แฟนความเร็วจดจำกันได้ดีก็คือมิชาเอล ชูมัคเกอร์นักแข่งชาวเยอรมันที่นอกจากจะยืนระยะได้อย่างยาวนานแล้ว เขายังกวาดแชมป์โลกมาได้จนเป็นสถิติมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ 7 สมัยอีกด้วย

แต่ในปัจจุบันนั้นชายผู้เป็นเจ้าของยุคทองที่แท้จริงก็คือ ยอดนักขับชาวอังกฤษที่ชื่อว่า ลูอิส แฮมิลตันที่พาต้นสังกัดอย่างเมอร์ซิเดสครองความเป็นเจ้าสนามมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญตอนนี้เขาสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาครองได้ถึง 6 สมัยซึ่งเท่ากับว่าเขากำลังจะก้าวขึ้นไปทาบสถิติของชูมัคเกอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และความหมายที่ตามมาของเรื่องนี้ก็คือเขามีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งตลอดกาลแทนที่ชูมัคเกอร์อีกนั่นเอง เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุถึง 35 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในสนามด้วยฟอร์มที่ร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มิชาเอล ชูมัคเกอร์นั้นเลิกขับแขวนพวงมาลัยไปนานแล้วนั่นเอง

และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องหมายการันตีความยิ่งใหญ่ของเขาก็คือ การที่เขาสามารถคว้าแชมป์การแข่งขันรายการบริติช เวิร์ลด์ กรังด์ปรี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีเรื่องราวดราม่าเกิดขึ้นบ้างในการแข่งขัน แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าตัวนั้นก้าวขึ้นไปครองสถิติการเป็นแชมป์โฮมเรซหรือการแข่งขันในบ้านเกิดตัวเองได้มากที่สุดในโลกที่ 7 ครั้งแซงหน้าเจ้าของสถิติเดิมอย่างอแลง พรอสต์ที่เคยคว้าแชมป์เฟร้นช์ กรังด์ปรีซ์มาครองได้ 6 สมัย ในช่วงยุค 80 และนอกจากนั้นการคว้าแชมป์โฮมเรซในครั้งนี้ ยังเป็นการเพิ่มสถิติการเป็นแชมป์ให้เขารวมทั้งหมดเป็น 87 รายการ ทำให้เขาตามหลังสถิติโลกของมิชาเอล ชูมัคเกอร์ที่ทำได้ 91 ครั้ง อยู่เพียงแค่ 4 รายการเท่านั้นเอง

ถึงแม้ว่าอายุของลูอิส แฮมิลตันจะเริ่มเข้าสู่ปลายเส้นทางการเป็นนักแข่งอาชีพแล้ว แต่ด้วยผลงานของเขาที่กำลังอยู่ในช่วงพีคที่สุดและมีแรงกระตุ้นจากสถิติต่าง ๆ ที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกฟอร์มูล่าวันแทนตำนานคนเดิมอย่างมิชาเอล ชูมัคเกอร์นี่แหละที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้เขายังคงมีไฟในการแข่งขันอีกต่อไป และหากย้อนไปดูตัวเลขสถิติต่าง ๆ ที่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เชื่อว่าถ้าหากเขาสามารถยืนระยะในการแข่งขันระดับสูงของเขาได้อีกเพียงแค่สองสามปี เราคงจะได้เห็น G.O.A.T. (ที่สุดตลอดกาล) ของการแข่งขันรถสูตรหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นชื่อของ “ลูอิส แฮมิลตัน” อย่างแน่นอน

วิกฤตของทีมเฟอร์รารี่ ม้าลำพองที่ดูเหมือนจะขี้เซามากไปหน่อย

หากจะกล่าวถึงวงการแข่งรถสูตรหนึ่งแล้วละก็ ชื่อทีมหนึ่งที่จะต้องผุดขึ้นมาในหัวของแฟนกีฬาจรวดทางเรียบคงจะเป็นชื่อของเฟอร์รารี่อย่างแน่นอน นั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นเป็นหนึ่งในค่ายยักษ์ใหญ่ของวงการ และสร้างผลงานอยู่ระดับแถวหน้าของโลกมาตลอด ปีแล้วปีเล่าที่เราจะได้เห็นนักขับของพวกเขาไล่บี้คู่แข่งราวกับม้าลำพองอันเป็นตราสัญลักษณ์อันน่าเกรงขามของพวกเขา

แต่เมื่อย้อนกลับมามองดูผลงานของเฟอร์รารี่ในปัจจุบันแล้วละก็ ตอนนี้พวกเขากลับดูเหมือนม้าขี้เซาที่หลับไม่ยอมตื่นขึ้นมาวิ่งเสียที เพราะนับจากนักแข่งในสังกัดของพวกเขาคือ คิมี ไรโคเน่นคว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาได้สำเร็จเมื่อปี 2007 จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาถึง 12 ปีแล้วที่พวกเขาไม่เคยกลับไปสู่จุดนั้นได้สำเร็จอีกเลย แถมดูเหมือนมันจะเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งปีเป็นอย่างน้อยอีกด้วยเพราะในฤดูกาล 2020 นี้ผลงานของนักขับของพวกเขาก็ยังคงย่ำแย่อยู่เช่นเดิม โดยเฉพาะในสนามล่าสุดพวกเขาถูกทิ้งห่างจนไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันไม่ใช่วิสัยของค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่างเฟอร์รารี่เลย

ซึ่งความล้มเหลวของทีมม้าลำพองนั้นหลายฝ่ายมองว่าปัจจัยหลักก็คือการวางกลยุทธ์ที่ผิดพลาดของทีมงานเองเป็นส่วนใหญ่ เพราะส่วนอื่น ๆ อย่างเช่นการปรับลดการใช้เครื่องยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันลงนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีผลอย่างมากสำหรับสมรรถนะของรถ แต่แน่นอนว่าค่ายอื่น ๆ ก็ย่อมต้องเผชิญปัญหานี้เช่นเดียวกัน เพราะมันเป็นกติกาการแข่งขันที่ทุกทีมจะต้องทำตามอยู่แล้วนั่นเอง

และหากดูจากที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ชัดว่าทางทีมงานของเฟอร์รารี่นั้นพยายามอย่างมากที่จะพาทีมกลับมายืนบนจุดสูงสุดของพวกเขาอีกครั้ง ที่เห็นได้ชัดคือการดึงตัวนักขับระดับแชมป์โลกเข้ามาเพื่อหวังจะใช้นักขับเก่ง ๆ เหล่านั้นพาทีมกลับมาเป็นแชมป์อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการดึงเฟอร์นันโด อลอนโซ่ที่ได้แชมป์สองสมัยกับเรย์โนลด์เข้ามาแต่พอ อลอนโซ่เข้ามาแล้วเจอดาวรุ่งอย่างเซบาสเตียน เวทเทลปาดหน้าเป็นแชมป์โลกถึงสี่สมัย พวกเขาก็หันไปหาเวทเทลเข้ามาแทนอีก แต่เวทเทลเองก็ไม่สามารถตอบโจทย์ให้กับพวกเขาได้ เพราะดันเข้าสู่ยุคทองของลูอิส แฮมิลตันพอดี และกลยุทธ์ดึงแชมป์มามันคงใช้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะการจะพรากแฮมิลตันมาจากเมอร์ซิเดสคงเป็นเรื่องลำบากกว่าที่ผ่านมา

นอกจากแฟน ๆ ที่ตั้งตารอให้ม้าตัวนี้กลับม้าลำพองได้เหมือนที่เคยแล้ว คนที่เดือดร้อนมากกว่าคงจะเป็นทีมงานของเฟอร์รารี่เองนั่นแหละ ที่จะต้องรับมือกับแรงกดดันมหาศาลในการที่ปล่อยให้ยักษ์อย่างเฟอร์รารี่ร้างจากความสำเร็จไปนานขนาดนี้ และเชื่อว่าพวกเขาคงจะกำลังทำทุกวิถีทางที่จะกลับมาเป็นแชมป์โลกอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่ายังคงหาทางที่เป็นคำตอบที่แท้จริงของปัญหานี้ไม่ได้เท่านั้นเอง