Monthly Archives: November 2020

มาร์ค มาเกวซ รอวันที่จะกลับมาไล่ล่าการเป็นจ้าวสนามโมโตจีพีอีกครั้ง

การขาดหายไปจากวงการโมโตจีพีของนักบิดคนสำคัญ และอาจจะเรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างเจ้าเด็กระเบิด หรือมาร์ค มาร์เกวซนั้น สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันทำให้วงการสิงห์นักบิดหมดความสนุกลงไปมากเลยทีเดียวจนมีผู้ชนะบางคนออกปากว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ชนะที่แท้จริง เพราะในการแข่งขันไม่มีชื่อของมาร์ค มาร์เกวซอยู่ด้วย ซึ่งทางต้นสังกัดของมาร์เกวซอย่างฮอนด้าก็ออกมายืนยันอย่างแน่นหนักแล้วว่า จะไม่ส่งเขาลงสนามอย่างแน่นอนหากว่ายังไม่กลับมาฟิตเต็มร้อย หรือมีโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เขากลับไปได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง

ซึ่งถ้าหากลองมองย้อนกลับไปถึงเหตุผลของทางต้นสังกัดของเขาอย่างฮอนด้าแล้วละก็ มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างมากในการที่จะไม่ดันทุรังให้เจ้าเด็กระเบิดผู้นี้ลงแข่งในขณะที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บเต็มร้อย ซึ่งจะนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บอีกครั้งของเขา เพราะนอกจากมาร์เกวซจะเป็นนักบิดหมายเลขหนึ่งของทีมฮอนด้าแล้วเขายังเป็นผู้ไล่ล่าอันดับหนึ่งที่มีโอกาสจะแซงหน้าขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก แซงหน้านักบิดระดับตำนานของทีมคู่แข่งตลอดกาลยามาฮ่า อย่างวาเลนติโน่ รอสซี่อีกด้วย ซึ่งตอนนี้ถ้าจะนับความสำเร็จของทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกันแล้ว มาร์ค มาร์เกวซมีความสำเร็จระดับแชมป์โลกเป็นรองรอสซี่อยู่แค่เพียงสมัยเดียวเท่านั้นเอง

และหากมองที่อายุของทั้งสองคนที่ในปัจจุบันวาเลนติโน่ รอสซี่มีอายุมากถึง 41 ปี แต่มาร์ค มาร์เกวซนั้นอายุพึ่งจะเพียงแค่ 27 เท่านั้นเอง ซึ่งหากลองเทียบง่าย ๆ ว่าสองคนนี้มีฝีมืออยู่ในระดับสูงเหมือนกัน ดังนั้นก็เชื่อว่ามาร์เกวซนั้นคงจะสามารถลงแข่งได้จนอายุเท่า ๆ กันกับรอสซี่ นั่นเท่ากับว่าเขาจะมีเวลาในการแซงผ่านรอสซี่มากกว่าสิบปีเลยทีเดียว ซึ่งหากเขากลับมาฟิตสมบูรณ์เมื่อไหร่ค่อยมาจัดการกับสถิติโลกของพ่อหมอก็ยังทันอยู่ดี มันจึงไม่มีเหตุผลใดที่ทางต้นสังกัดจะเร่งให้เขาลงสนาม

นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ช่วงปี 2000 เป็นต้นมา วงการนักบิดของโลกต่างก็รู้ว่ามันคือยุคทองของชายที่ชื่อว่า “วาเลนติโน่ รอสซี่” จวบจนกระทั่งการแจ้งเกิดในวงการโมโตจีพีของ “เจ้าเด็กระเบิด” มาร์ค มาร์เกวซ และจากผลงานที่ผ่ามมาของเขาแฟนกีฬาจากทั่วโลกต่างก็คาดว่ามาร์เกวซนี่แหละที่จะเป็นผู้โค่นตำนานอย่าง “เดอะ ดอกเตอร์” วาเลนติโน่ รอสซี่ และขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งและตำนานแห่งวงการแทน เพียงแต่ตอนนี้ยังคงต้องรอให้เขารักษาร่างกายให้หายดีก่อน แล้วค่อยมาดูว่าเขาจะสามารถทำมันสำเร็จได้หรือไม่ และที่สำคัญฤดูกาลหน้าจะยังคงได้เห็นพวกเขาขับเคี่ยวกันโดยตรงอีกหนึ่งฤดูกาลอีกด้วย

แชมป์แรกในชีวิตของ ฟรังโก มอร์บิเดลลี่

ในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลกรายการโมโตจีพี 2020 สนามที่ 7 ของฤดูกาล รายการซาน มาริโน กรังด์ปรีซ์ ที่จัดการแข่งขันขึ้นที่สนาม มิซาโน เวิร์ลด์ เซอร์กิต มาร์โก ซิมอนเชลลี่ ที่ตั้งอยู่ในเมืองริมินี แคว้นเอมีเลีย โรมันญ่า ประเทศอิตาลีที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่าแชมป์ประจำสนามนี้ตกเป็นของนักบิดเจ้าถิ่นอย่าง ฟรังโก มอร์บิเดลลี่ที่สามารถคว้าชัยไปได้สำเร็จ

การที่นักบิดชาวอิตาลีคว้าแชมป์ได้สำเร็จบนแผ่นดินตัวเองในครั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจและน่าจดจำก็คือมันเป็นการคว้าแชมป์รายการแรกในชีวิตการเป็นนักบิดในรายการโมโตจีพีของเขานั้นเอง ซึ่งมันเกิดขึ้นหลังจากเขาเลื่อนชั้นขึ้นสู่โมโตจีพีเป็นฤดูกาลที่สามด้วยกัน โดยเขาเริ่มต้นการแข่งในรุ่นโมโตจีพีเป็นครั้งแรกในปี 2018 กับทีมต้นสังกัดเดิมคือฮอนด้าก่อนที่เพียงหนึ่งปีหลังจากนั้นเขาจะจะย้ายสังกัดข้ามฟากมาอยู่กับปริโตนาส ยามาฮ่าจนถึงปัจจุบัน

ในส่วนของเรื่องฝีไม้ลายมือนั้นมอร์บิเดลลี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในนักบิดที่น่าจับตามองอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะพึ่งได้สัมผัสกับแชมป์สนามแรกในรายการโมโตจีพี แต่ก่อนหน้านั้นในการแข่งขันรุ่นโมโตทูเมื่อปี 2017 ฟรังโก มอร์บิเดลลี่นั้นสามารถก้าวไปถึงการเป็นแชมป์โลกมาแล้วนั่นเอง ทำให้แฟน ๆ ของยามาฮ่าต่างก็หวังจะเห็นเขาก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์โลกได้และนำทีมต้นสังกัดกลับมาสู่เส้นทางความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง และการเริ่มต้นนับหนึ่งของการเป็นแชมป์ในรุ่นนี้ของเขาอาจจะเป็นเหมือนการปลดล็อกให้กับเส้นทางสู่ความฝันของเขาและแฟน ๆ ก็เป็นได้

ปัจจุบันฟรังโก มอร์บิเดลลี่มีอายุ 25 ปี ซึ่งดูแล้วก็คงจะเหลือเวลาให้เขาพัฒนาฝีมือและเก็บเกี่ยวความสำเร็จให้กับตัวเองและต้นสังกัดได้อีกนานพอสมควร แต่ก็คงจะต้องบอกว่าต้องทำงานหนักชนิดที่เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็นเลยทีเดียว ในการที่จะพาต้นสังกัดของเขาบิดไล่กวาดจ้าวถนนคนปัจจุบันอย่างมาร์ค มาร์เกวซที่ร้อนแรงเหลือเกินในยุคนี้ ทางเดียวก็คือเขาจะต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับนักบิดรุ่นพี่ของทีมสัญชาติเดียวกันอย่าง “พ่อหมอ” วาเลนติโน่ รอสซี่เลยถึงจะมีโอกาสโค่นมาร์เกวซลงได้

อย่างไรก็ตามการคว้าแชมป์รายการแรกของเขาในครั้งนี้ก็เป็นสัญญาณที่ดีของเขาและต้นสังกัด โดยเฉพาะสำหรับตัวเขาเองแล้วการคว้าแชมป์แรกมาได้คงจะทำให้เขาคลายความกดดันลงไปได้ไม่น้อย แถมตอนนี้ยังได้มาอยู่ทีมเดียวกันกับยอดนักบิดอย่างรอสซี่อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงปลายของอาชีพของพ่อหมอแล้ว แต่เชื่อว่าประสบการณ์และเทคนิคที่รอสซี่มีจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและยกระดับฝีมือของมอร์บิเดลลี่อย่างมากแน่นอน ถ้าเขาอาศัยปัจจัยเหล่านี้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไป แชมป์รายการต่อ ๆ ไปคงตามมาอีกเป็นแน่

อิเนีย บาสเตียนินี่ ดาวรุ่งอิตาลีซบดูคาติเลื่อนคลาสบิดในปีหน้า

นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับการที่ค่ายมอเตอร์ไซค์ยักใหญ่ของประเทศอิตาลี ได้ทำการดึงตัวนักบิดดาวรุ่งสัญชาติเดียวกันอย่าง อีเนีย บาสเตียนีนี่เข้ามาร่วมทีมซึ่งนี่เป็นการเซ็นสัญญา ที่ถือเป็นก้าวสำคัญเลยก็ว่าได้สำหรับทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นทางค่ายดูคาติ หรือทางฝั่งเจ้าตัวของบาสเตียนีนี่เอง

สำหรับทางฝั่งค่ายดูคาติเองซึ่งถือว่าเป็นค่ายยักษ์ของวงการนั้น แน่นอนว่าการได้ตัวบาสเตียนีนี่มานั้น เหมือนกับการได้วางแผนการเซ็นสัญญาเพื่อความสำเร็จในระยะยาวของทีม เพราะในปัจจุบัน อิเนีย บาสเตียนีนี่ เองก็เป็นนักบิดายุน้อยที่ได้รับการยอมรับในฝีไม้ลายมือในระดับสูงคนหนึ่ง และการชิงดึงตัวเขามาไว้กับทีมนั้นนอกจากจะเป็นการเสริมกำลังในระยะยาวให้กับพวกเขาแล้ว ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นการชิงตัดหน้าไม่ให้คู่แข่งสำคัญดึงตัวเขาไปร่วมทีมอีกก่อนอีกด้วย

และสำหรับประโยชน์ส่วนตัวของทางอิเนีย บาสเตียนีนี่เองนั้นการเซ็นซบดูคาติในครั้งนี้มันก็เป็นการยกระดับของตัวเองบนเส้นทางนักบิดให้สูงไปอีกขั้น เพราะถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่สามรถกำหนดได้แน่ชัดว่าจะได้ลงบิดในนามทีมใดของดูคาติ แต่ที่แน่ ๆ มันจะทำให้เขาก้าวขึ้นมาลงแข่งขันในรุ่นพรีเมียร์ คลาสของโมโตจีพีอย่างเต็มตัวเสียที ซึ่งมันจะเป็นก้าวสู่จุดสูงสุดบนเส้นทางอาชีพนักบิดของเขาอย่างแท้จริง และมันเกิดขึ้นในขณะที่เขามีอายุได้เพียงแค่ 22 ปีเท่านั้นเอง ซึ่งมันเป็นการเริ่มต้นที่รวดเร็วมากของเขาและสิ่งที่จะตามมาก็คือมันจะทำให้เขามีช่วงเวลาในการไล่ล่าความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

ผลงานการแข่งขันที่ผ่านมาของอิเนีย บาสเตียนีนี่นั้น ถ้าหากเป็นแฟนตัวจริงของการแข่งขันกีฬาโมโตจีพีแล้วละก็ เชื่อว่าคงจะเห็นมาบ้างแล้วพอสมควรสำหรับลีลาของนักบิดหนุ่มผู้นี้นับตั้งที่ลงแข่งขันในรุ่นจีพี 3 กับเคทีเอ็มและฮอนด้าซึ่งสามารถเก็บชัยชนะมาได้ 3 สนาม และขึ้นโพเดียมได้ถึง 24 ครั้งจากการออกสตาร์ททั้งหมด 88 ครั้ง และสามารถจบที่อันดับ 4 ของรายการได้ในปี 2018 ก่อนที่จะขยับขึ้นสู่ จีพี 2 ซึ่งเขาก็พาตัวเองจบได้ในอันดับที่ 10 ของปี 2019

การได้มาร่วมงานกันครั้งนี้ของอิเนีย บาสเตียนีนี่กับดูคาตินั้น ต้องบอกเลยว่าเป็นการร่วมงานกันที่เหมาะสมและลงตัวที่สุด เพราะการที่ดูคาติเป็นหนึ่งค่ายยักษ์ของวงการซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เรียกว่ายักษ์หลับนั้น การที่บาสเตียนีนี่จะหาโอกาสสดแทรกตัวเองขึ้นไปก็ย่อมจะไม่ใช่เรื่องยาก ในขณะเดียวกันทางดูคาติเองก็ได้นักบิดระดับคุณภาพที่จะฝากอนาคตของค่ายไว้ได้ในระยะยาวเช่นกัน

อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ นักแข่งเอฟวันสัญชาติไทยที่ผลงานอยู่ในระดับโลก

ต้องบอกว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างมากสำหรับประเทศไทย ที่ในตอนนี้เรามีนักแข่งรถฟอร์มูล่าวันที่อยู่ในเวทีระดับโลกที่เป็นสัญชาติไทยกับเขาเสียที และเขาคนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมาเล่น ๆ เสียด้วยสิ เพราะผลงานของเขาที่ปัจจุบันอยู่ในสังกัดของทีมเรดบูล เรซซิ่ง-ฮอนด้า นั้นก็ดูจะโดดเด่นพอสมควรเลยทีเดียว

สำหรับอเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์นั้นปัจจุบันมีอายุ 24 ปี ซึ่งเขาเกิดที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษโดยมีคุณแม่เป็นชาวไทยคือคุณกัญญ์กมล อังศุสิงห์ ทำให้เขาเลือกที่จะใช้สัญชาติไทยตามคุณแม่ ส่วนเลือดการเป็นนักแข่งของเขานั้นต้องบอกว่ามาจากคุณพ่อเต็ม ๆ เพราะคุณพ่อของเขาคือ ไนเจล อัลบอนนั้นเป็นอดีตนักแข่งรถและอยู่ในทีมช่างรถแข่งอีกด้วย ทำให้เขาได้รับการปลูกฝังและส่งเสริมในการแข่งรถมาตั้งแต่เด็ก และทำให้เขาก้าวเข้ามาอยู่ในวงการแข่งรถฟอร์มูล่าวันได้ในวัยเพียงแค่ยี่สิบต้น ๆ อย่างเช่นที่เห็นในวันนี้

ส่วนผลงานของเขานั้นก็เรียกว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะเมื่อไม่นานมานี้ในการแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก 2020 สนามที่ 9 รายการทัสคานี่ เฟอร์รารี่ 1000 กรังด์ปรีที่สนามมูเจลโล เซอร์กิต เมืองฟลอเรนซ์ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2563 ที่ผ่านมาได้ถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่าคือครั้งแรกที่ธงไตรรงค์ของประเทศไทยได้โบกสะบัดเหนือโพเดียมการแข่งขันฟอร์มูล่าวันชิงแชมป์โลก เมื่ออเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์สามารถเข้าป้ายมาเป็นอันดับที่สาม ตามหลังอันดับหนึ่งคือแชมป์โลก 6 สมัยอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน และอันดับที่สองวัลต์เทรี่ บอตทาส ชาวฟินแลนด์ ซึ่งเป็นสองนักขับจากสังกัดเมอร์ซิเดส ส่งตัวเองขึ้นโพเดียมไปได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

นับเป็นความสำเร็จและเป็นการยกระดับตัวเขาเองขึ้นไปอีกขั้นสำหรับการก้าวขึ้นสู่โพเดียมได้สำเร็จในครั้งนี้ และหากย้อนกลับไปดูอายุของเขานั้นก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นอาชีพนักแข่งเท่านั้นเอง ดังนั้นหากว่าเขายังคงพัฒนาฝีมือของตัวเองอย่างต่อเนื่องแล้วละก็ ซักวันเราอาจจะฝันถึงแชมป์โลกรถสูตรหนึ่งสัญชาติไทยก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม

ปรากฏการที่อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์สร้างขึ้นในวงการแข่งขันรถสูตรหนึ่งนั้นถือว่าเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับวงการแข่งรถเมืองไทย เพราะในอดีตมันเป็นเรื่องที่ยากมากที่เด็กไทยสักคนจะก้าวขึ้นไปอยู่ตรงจุดนี้ เรื่องราวของเขามันจึงเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับเด็กไทย ที่ทำให้เห็นว่าคนไทยก็ทำได้ดีไม่แพ้ชาติใดเช่นกัน และด้วยการที่โลกในยุคที่ทุกอย่างพัฒนาไปมากอย่างทุกวันนี้มันก็ทำให้โอกาสที่จะเข้าถึงการเป็นนักขับเอฟวันไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เราอาจจะได้เห็นนักขับชาวไทยบนเวทีระดับโลกมากขึ้นอีกก็เป็นได้